วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

บทที่ 3 วิเคราะห์ภาระงาน (Task Analysis)

บทที่ 3
วิเคราะห์ภาระงาน (Task Analysis)
 

 T : วิเคราะห์ภาระงาน (Task Analysis) ศึกษาข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ได้ความรู้ (knowledge) ทักษะ เu) และเจตคติ(Altitude) ที่เกี่ยวข้อง เพื่อการอธิบายภาระงานหรือกิจกรรมที่ช่วยนําทางผู้เรียนไปสู่ เอมมายการเรียนรู้ การวิเคราะห์งานจะเขียนแสดงความสัมพันธ์ด้วย KSA diagram คือ Kowledge-Skillresides การวิเคราะห์ภาระงานเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์การเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ
1.ตัดสินใจให้ได้ว่าเป็นความต้องการในการเรียนการสอน มีภาระงานที่เกี่ยวข้องกับการเรียน การสอน
2. ต้องความชัดเจนว่าต้องเรียนรู้เรื่องใดมาก่อน จึงจนำไปสู่ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
3. การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียน จากขั้นที่ 2 บอกให้รู้ว่าผู้เรียนจะต้องเรียนรู้และวัดผลใน เรื่องใด
Donald Clark, (2004 : 13) เสนอแนวทางการวิเคราะห์ตามกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน นี้ว่า เป็นการปฏิบัติเพื่อลงสรุปให้ได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเรียนการสอนให้ชัดเจน ดังนี้
ทบทวนระบบหรือกระบวนการเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น เรียบเรียงภาระงาน (จำาเป็น)
*ระบุงาน
* บรรยายลักษณะงาน
*รายการ ภาระงานของแต่ละงาน
 วิเคราะห์ภาระงานนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อสนองตอบความต้องการการเรียนรู้
เลือกภาระงานสำหรับการเรียนการสอน (ภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องก็ควรจะเลือกใช้วิธีอื่น(ที่ไม่ใช่การสอน)
สร้างเครื่องมือวัดผลการปฏิบัติ
เลือกวิธีการเรียนการสอน
ประมาณค่าใช้จ่ายในการสอน (ถ้าจำเป็น) หมายเหตุ คำว่า (ถ้าจำเป็น) อาจไม่ต้องทำก็ได้ เมื่อผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายรับทราบกิจกรรมนั้น ๆทราบแล้ว
 
การวิเคราะห์งาน
การวิเคราะห์งานเป็นการตรวจสอบว่าในการศึกษานั้น ๆ มีงานใดที่เป็นชีวิตจริง และมีความ ทักษะและเจตคติใดบ้างที่นำไปสู่ความสำเร็จในการทำงานนั้น ๆ การวิเคราะห์งานช่วยให้แน่ใจว่าจะได้ สาระและคุณค่าที่เกี่ยวข้องในการเรียนรู้
คำถามหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์งาน ในการวิเคราะห์งาน มีคำถามหลัก 3 ข้อ คือ
ภาระใดงานใดเป็นข้อกำหนดของงาน
การจัดเรียงลำดับของแต่ละภาระงานคืออะไร
เวลาที่ใช้ในการทำแต่ละภาระงาน
สุดท้ายหาคำตอบให้ได้ว่าภาระงานใดมีความสำคัญ เนื่องจากงาน ประกอบด้วยภาระงานหลายภาร
งาน
การวิเคราะห์งานทำได้อย่างไร
วิธีการวิเคราะห์งานที่ใช้บ่อย คือ
การสอบถาม (questionnaires) การสำรวจโดยส่งแบบสอบถามทางไปรษณีย์ หรือไปรษณีย์ อิเล็กทรอนิกส์สอบถามผู้เชี่ยวชาญ เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายน้อยและได้ข้อมูลจำนวนมาก
                การสัมภาษณ์ (interviews) การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ หรือการพบปะสนทนาเป็นรายบุคคลกับ ผู้เชี่ยวชาญ เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายสูงและใช้วลามาก แต่มีข้อดีสำหรับคำถามปลายเปิด หรือสามารถถามเพิ่ม ในประเด็นที่ต้องการได้ทันที
             การสนทนากลุ่ม (Focus groups) การสัมภาษณ์กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะให้ผลดีกว่าในประเด็นที่จะ ช่วยให้ตรงประเด็นมากกว่า มิฉะนั้นอาจจะเข้าใจผิดหรือมโนทัศน์ที่ผิดพลาดได้
การวิเคราะห์ภาระงาน
การวิเคราะห์ภาระงานคล้ายคลึงกันกับการวิเคราะห์งานแต่มีระดับของการวิเคราะห์ รายละเอียด-หน่วยย่อย การวิเคราะห์งานทำได้โดยการจำแนกงานออกเป็นภาระงานหลายภาระงาน จาก การวิเคราะห์ภาระงานก็จะวิเคราะห์ย่อยลงถึงส่วนประกอบ โดยใช้คำถามในการวิเคราะห์เช่นเดียวกันกับ วิเคราะห์งาน ดังนี้
ส่วนประกอบของแต่ละภาระงานคืออะไร
ส่วนประกอบแต่ละส่วนสามารถนำมาเรียงลำดับด้วยอะไรได้บ้าง
ส่วนประกอบแต่ละส่วนต้องใช้เวลาเท่าไร ขั้นตอนที่จำเป็น (critical steps) คืออะไร และเส้นทางวิกฤติ (critical paths) คืออะไร
ขั้นตอนที่จำเป็นหมายถึงภาระงานที่ไม่สามารถข้าม ละเว้นไม่ต้องปฏิบัติภาระงานนั้น มิฉะนั้นจะ มีผลเสียต่อผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้น สืบเนื่องมาจากผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นปัจจัยป้อนให้กับขั้นตอนต่อไป ส่วนเส้นทางวิกฤติเป็นผลต่อเนื่องจากขั้นตอนที่จำเป็น เส้นทางวิกฤติมีผลต่อโอกาสที่จะประสบผลสำเร็จ ของงานได้และในทำนองเดียวกันก็อาจเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งก็ได้
การตัดสินใจเลือกภาระงานต้องคำนึงถึงประสิทธิผลและประสิทธิภาพ ซึ่งโปรแกรมที่ดีต้อง แสวงหาวิธีการที่ดีที่สุดภายใต้กรอบค่าใช้จ่ายที่ได้รับ และต้องสนองจุดหมายของการเรียนรู้ไปพร้อมกัน การเลือกภาระงานอาจแบ่งภาระงานได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มภาระงานที่จัดไว้สำหรับการเรียนแบบปกติ (formal)
2. กลุ่มภาระงานที่จัดไว้สำหรับการฝึกอบรมขณะปฏิบัติงาน (on - the job training :OUT)
3. กลุ่มภาระงานที่ไม่จัดไว้ทั้งการเรียนแบบปกติหรือ การฝึกอบรมขณะปฏิบัติงาน เช่น ชุด การศึกษาด้วยตนเอง ฯลฯ
คำถามที่ใช้ในการวิเคราะห์ภาระงาน
donal Clark, (2004 : 10) ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับคำถามในการวิเคราะห์ภาระงานไว้ดังนี้
ภาระงานนี้มีความยุ่งยาก หรือรับช้อนเพียงใด ในการปฏิบัติงานต้องใช้พฤติกรรมใดบ้าง 

การวิเคราะห์สาระการเรียนรู้
การวิเคราะห์สาระการเรียนรู้จะเป็นการจํากัดขอบเขตของเรื่องที่จะนำมาสอนกับเรื่องที่ไม่ต้อ นำมาสอน ซึ่งมีความสำคัญยิ่งในปัจจุบันเนื่องจากหนังสือเรียนบรรจุสาระสนเทศไว้มากเกินกว่าที่จะนำสอนอย่างมีประสิทธิผลในระยะเวลาหนึ่งภาคเรียน ควรยึดหลักว่า เพื่อเป็นผลดีต่อ การเรียนรู้จริง ๆ ขอ ผู้เรียน สื่อการเรียนรู้ที่จำเป็นถึงแม้ว่าจะน้อยแต่ก็ดีกว่าสื่อการเรียนรู้ขนาดใหญ่ แต่ไม่ได้ช่วยให้ประ ความสำเร็จในการเรียน
วิเคราะห์สาระการเรียนรู้ เนื้อหาสาระที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามจุดประสงค์ อาจจะแบ่ง หลายลักษณะ เช่น การเย่ และบริกส์ (Gagne and Briggs 1974 : 53 - 70) กำหนดสาระการเรียนรู้ ดังนี้ ข้อมูลที่เป็นความรู้ 2) เจตคติ และ 3) ทักษะ ส่วนเดคโค (De Cecco 1968 : 214 - 447) แบ่งสาระกา เรียนรู้ตามจุดประสงค์เป็น 1) ทักษะ 2) ความรู้ที่เป็นข้อมูลธรรมดา 3) ความคิดรวบยอดและหลักการ แต่ 4) การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์และการค้นพบ
การวิเคราะห์เนื้อหาสาระ ควรดำเนินการดังนี้
ตัดสินใจให้ได้ว่าสารสนเทศใดมีความจำเป็นสูงสุด
แบ่งออกเป็นมโนทัศน์ย่อย ๆ
ขอเสนอแนะให้นำโครงสร้างการจำแนกจุดประสงค์การเรียนรู้มาใช้ในการตัดสินใจในการส อาทิ การจำแนกจุดมุ่งหมายการศึกษาของ บลูม (Bloom's Taxonomy)
 


การออกแบบและพัฒนาภาระงาน
Herman, J. L, Aschbacher, P. R., and Winters L.(1992 อ้างถึงใน ชอบ เชอ (2555) การประเมิน ตามสภาพจริง สำนักทดสอบทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ) การออกแบบและพัฒนาภาระงาน - อาศัยหลักวิชา การวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์และความเชี่ยวชาญในเนื้อหาสาระในระดับมืออาชี ขั้นตอนการสร้างภาระงานมีดังต่อไปนี้
1)การระบุความรู้และทักษะที่ผู้เรียนจะเรียนรู้จากการปฏิบัติงาน โดยเริ่มจากพิจารณาและ วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตร ผลการเรียนที่คาดหวัง หรือวัตถุประสงค์การเรียนรู้ เพื่อที่จะ สามารถระบุขอบเขตและประเภทของความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์
          ผู้สอนควรตั้งปัญหาถามตนเอง 5 ข้อเพื่อที่จะระบุหรือกำหนดความรู้และความสามารถที่ผู้เรียน จะได้รับจากการปฏิบัติภาระงาน คือ
1) ทักษะทางปัญญาและคุณลักษณะที่สำคัญที่ต้องการให้ผู้เรียนได้ฝึกและพัฒนาคืออะไร เช่น การสื่อสารด้วยการเขียนอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์ประเด็นปัญหาโดยใช้ข้อมูลขั้น ปฐมภูมิและจากเอกสารอ้างอิง การใช้หลักพีชคณิตเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เป็นต้น
2) ทักษะและคุณลักษณะทางสังคม และจิตพิสัยที่ต้องการพัฒนาให้ผู้เรียน คืออะไร เช่น การทำงานโดยอิสระ การปฏิบัติโดยร่วมมือกับผู้อื่น ความมั่นใจในความสามารถของคน และการรู้จัก รับผิดชอบ เป็นต้น
3) ทักษะความคิดระดับสูงและอภิปัญญา (Meta-cognition) ที่ต้องการพัฒนาให้ผู้เรียนคือ อะไร เช่น การใคร่ครวญ ตรึกตรอง ทบทวนกระบวนการทำงานของคน(ผู้เรียน) การประเมินประสิทธิภาพ ของกลวิธีที่ตน(ผู้เรียน)ใช้การพิจารณาและประเมินความก้าวหน้าของตนเอง(ผู้เรียนเป็นระยะ ๆ เป็นต้น
4) ความสามารถที่ต้องการให้ผู้เรียนมีความสามารถอะไร เช่นความสามารถในการวางแผน ศึกษาค้นเพื่อหาคำตอบให้กับประเด็นปัญหาที่กำหนดให้ ความสามารถจำแนกประเภทปัญหาที่สามารถใช้ หลักการทางเรขาคณิตแก้ได้ การแก้ปัญหาที่ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องแน่ชัด เป็นต้น
5) หลักการทางวิชาการและความคิดรวบยอดที่ต้องการให้ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้คือ อะไร เช่น การใช้หลักการทางนิเวศวิทยากำหนดแนวปฏิบัติในการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การใช้หลัก คณิตศาสตร์ไตรยางค์ในการแก้ปัญหาเรื่องการซื้อขาย เป็นต้น
2. ออกแบบภาระงานที่ผู้เรียนต้องใช้ความรู้และทักษะ(จากข้อ 1) ลักษณะสำคัญของงานคือ ต้องกระตุ้นหรือสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียน มีความท้าทาย แต่ไม่ยากเกินไปจนผู้เรียนทำไม่ได้ และใน ขณะเดียวกันต้องครอบคลุมสาระสำคัญทางวิชาและทักษะที่ลึกซึ้ง เพื่อให้สามารถนำผลการประเมินไปใช้ได้ อย่างสมเหตุสมผลและน่าเชื่อถือ
Herman et al. (1992) ได้เสนอประเด็นคำถามสำคัญเพื่อให้ผู้สอนพิจารณาในขั้นตอนนี้ คือ
1) เวลา จะต้องใช้เวลาเท่าไร ผู้เรียนจะพัฒนาความรู้และทักษะที่เป็นเป้าหมายของการ ปฏิบัติงานในระยะเวลาเท่าไรจึงจะเหมาะสม เนื่องจากการพัฒนาความคิดรวบยอดที่สำคัญและทักษะ กระบวนการคิดระดับสูง ความรู้ทักษะมักจะใช้ระยะเวลาในการเรียนรู้ยาวนานพอสมควร ผู้สอน/ผู้ออกแบบ ควรจะกำหนดเวลาที่เหมาะสมตามประเภทของสาระสำคัญและความลึกซึ้งของทักษะ และวัยระดับชั้นเรียน หรือพัฒนาการด้านสติปัญญาของผู้เรียน
2) จะมีหลักการอย่างไร ในการเลือก ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่มีฐาน มากและหลากหลาย เพื่อให้เหมาะสมกับระยะเวลากำหนด หลักการสำคัญที่อพิจารณาจากร: ทาฐาน เรียนรู้ ให้ความสำคัญกับความรู้ ทักษะ และทุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้พอ หลักสูตรสถานศึกษา และความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่มีขอบเขตการใช้ประโยชน์ กว้างขวาง และใช้ได้ในสถานการณ์ที่หลากหลาย
3) พิจารณาโลกแห่งความเป็นจริง ผู้สอน/ผู้ออกแบบควรให้ความสำคัญต่อความรู้ ทักษะ ทุณลักษณะที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ไม่ควรให้ความสนใจกับสิ่งที่เป็นเพียรบุคมท แต่ไม่สามารถบรน ได้ในความเป็นจริง
3. การกำหนดเกณฑ์การให้คะแนน (IRubrics) หรือเกณฑ์การประเมินที่ชัดเจน เป็นปรนัย เป็น F ยอมรับ และสามารถสะท้อนให้เห็นถึงระดับของผลสัมฤทธิ์ทางด้านความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะที่ดี ประสงค์ เกณฑ์การให้คะแนนส่วนมากมักจะอยู่ในรูปตาราง 2 มิติ ประกอบด้วย
ส่วนหัวของ Rows จะแสดงระดับคุณภาพของความรู้ ทักษะหรียความสามารถของแต่ง | Column จำนวน Rows จะขึ้นอยู่กับจำนวนของระดับคุณภาพที่ต้องการใช้และส่วนมากจะอยู่ระหว่าง 2 - 3 ระดับ 1
ช่องแต่ละช่องในตารางจะมีคำบรรยายถึงระดับคุณภาพแต่ละระดับของความรู้ ทักษะ หรีอ ความสามารถที่ประเมินภาระงานแต่ละชิ้นควรจะมีเกณฑ์การประเมินเฉพาะตัว เกณฑ์การประเมิน ออกแบบมาอย่างดีจะให้ข้อมูลแก่ผู้เรียนว่าจะต้องแสดงความสามารถด้านใดออกมาในระดับใดจึงจะ คะแนนเท่าไร เกณฑ์การประเมินยังเป็นเครื่องมือให้ผู้สอนสามารถประเมินผู้เรียนอย่างเป็นปรนัยและได้ การประเมินที่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ควรจะมีตัวอย่างผลงานพร้อมทั้งระดับคะแนนแต่ละด้านให้นักเรียน ศึกษาประกอบด้วย
หมายเหตุ ผู้สอนผู้ออกแบบควรจะภาระงานไปทำการตรวจสอบทบทวน แล้วนำไปทดลอง ในภาคสนาม นําผลกลับมาศึกษาวิเคราะห์ และปรับปรุงแก้ไข ก่อนจะนำไปใช้ในสถานการณ์จริงต่อไป

การสานสร้างความรู้จากสังคม
Toffler (1980) กล่าวถึงพัฒนาการทางสังคมมนุษย์จากสังคมเกษตรกรรม มาสู่สังคมอุตสาหกรรม และสังคมสารสนเทศ พัฒนาการของเทคโนโลยีสารสนเทศ เรียกกันในช่วงแรกว่า สังคมสารสนเทศ (information Society) ต่อมาผู้คนในสังคมที่มีปัญญาสามารถจัดการความรู้ได้ สังคมสารสนเทศก็กลายเป็น สังคมฐานความรู้(knowledge based society) การพัฒนาเทคโนโลยีไร้สาย เป็นผลให้แนวทางในการจัด การศึกษาจำเป็นต้องให้สมาชิกในสังคมให้พร้อมรับสังคมฐานความรู้ การศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางที่ กล่าวกันในการจัดการศึกษานั้น ต้องเกิดจากความเข้าใจผู้เรียนและสภาพแวดล้อมของผู้เรียน เพื่อสร้าง กิจกรรมการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับศักยภาพของผู้เรียนและองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดกระบวนการ เรียนรู้ สื่อในการเรียนรู้ การศึกษาตามทฤษฎี social constructivism มีความเหมาะสมมากสําหรับสังคมสารสนเทศ โดยเฉพาะสังคมฐานความรู้ เนื่องจากผู้เรียนสามารถเรียนรู้เรื่องต่าง ๆ จากแหล่งความรู้ที่หลากหลาย หาก สถานศึกษาจัดสภาวะแวดล้อมให้สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้จากเครือข่ายสารสนเทศ สุดาพร ลักษณียนาวิน (2550) ได้เสนอกระบวนการเรียนการสอนตามแนวทฤษฎีการสานสร้างความรู้จากสังคม (social constructivism) ดังนี้
ตารางที่ 18 กระบวนการเรียนการสอนตามแนวทฤษฎีการสานสร้างความรู้จากสังคม
 


 

การเรียนรู้แบบร่วมมือ
ประสิทธิผลของการเรียนรู้แบบร่วมมือได้รับการยืนยันจากการวิจัยทั้งการศึกษาวิจัยในห้องทดลอง และในภาคสนาม การศึกษาสหสัมพันธ์ที่แสดงว่าการเรียนรู้แบบร่วมมือได้ผลในห้องเรียนจริง ๆ Johnson and Johnson (1994) สรุปว่าการวิจัยเชิงสาธิตแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ
 1) การประเมินผลรวม ได้ผลว่าการ เรียนรู้แบบร่วมมือก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์
 2) การประเมินผลรวมเชิงเปรียบเทียบ ได้ข้อสรุปว่า
กระบวนการเรียนรู้แบบร่วมมือดีกว่านาระบวนการเรียนรู้แบบอื่น ๆ
 3) การประเมินผลระหว่างเรียนให้ผลที่จุดมุ่งหมายพัฒนาการการใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือ และ
 4) การศึกนายเบาระทบของเกมเรียนรู้แ ร่วมมือที่มีต่อผู้เรียน การเรียนรู้แบบร่วมมืออาจใช้ได้กับทุกระดับชั้น เนื้อบาง และบุกงาน(ภาระง) ด้วยความมั่นใจ ความร่วมมือเป็นความพยายามของมนุษย์โดยทั่วไป ซึ่งส่งผเกระทบต่อผลเจ้าพต่าง ๆ การศึกษา ผลลัพธ์นี้ Akusok, axl kbassa (19shu) สรุปได้เป็น 3 ประเภท คือ ความพยายามที่จะ ผลสัมฤทธิ์ สัมพันธภาพทางบวกระหว่างบุคคล และ สุภาพจิต ทั้งภาพประกอบที่ 4


ภาพประกอบที่ 4 ผลลัพธ์ของการร่วมมือ
in Johnson and Johnson (1994 the new circles of learning cooperation in the classroom and school มานพ ธรรมสาร ผู้แปล กรมวิชาการ 2546 : 32)

ทักษะแห่งความร่วมมือ
Johnson and Johnson (1991, 19ม) กล่าวว่า ทักษะระหว่างบุคคลบลายทักษะส่งผลต่อความสำเร็จ ในความพยายามร่วมมือกัน ทักษะแห่งความร่วมมือมี 4 ระดับ คือ
1.ระดับสร้างนิสัย (forming) ทักษะขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต่อการสร้างกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือ ให้ทหน้าที่ได้เป็นทักษะเริ่มแรกของทักษะที่มุ่งการจัดการเรียนรู้และกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำ พฤติกรรมที่ สำคัญบางประการเกี่ยวกับทักษะระดับสร้างนิสัย ดังตัวอย่างต่อไปนี้
เคลื่อนไหวในกลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมียโดยไม่ก่อให้เกิดเสียงรบกวน เวลาการทำงานกลุ่มเป็นสิ่งที่มีค่า  จึงควรใช้เวลาในการจัดโต๊ะเก้าอี้และจัดกลุ่มการเรียนให้น้อยที่สุคตามความจำเป็น นักเรียนอาจจำเป็นต้องฝึกการจัดกลุ่มหลาย ๆ ครั้งก่อนที่จะปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล
อยู่ประจำกลุ่ม นักเรียนที่เดินไปเดินมาในช่วงที่กลุ่มห้างานไม่ก่อให้เกิดผลดี และยังรบกวน สมาธิของสมาชิกกลุ่มอื่นด้วย
พูดเบา ๆ แม้ว่ากลุ่มการเรียนรู้ต้องอาศัยปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม แต่ไม่จำเป็นต้องใช้เสียงดัง เกินไป ครูอาจมอบหมายให้นักเรียนคนหนึ่งในกลุ่มเป็นผู้คอยกำกับคนอื่นให้พูดเบาๆ
กระตุ้นให้ทุกคนมีส่วนร่วม สมาชิกกลุ่มทุกคนต้องร่วมกันคิดร่วมกันใช้สียการเรียน และมีส่วน ในความพยายามให้กลุ่มบรรลุผล การให้นักเรียนผลัดเปลี่ยนกันทำหน้าที่เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้นักเรียนทุก คนในกลุ่มมีส่วนร่วม
2. ระดับสร้างบทบาท (function) ทักษะที่จำเป็นต่อการจัดกิจกรรมกลุ่ม เพื่อทำงานให้สำเร็จ และรักษาสัมพันธภาพในการทำงานที่มีประสิทธิผลในหมู่สมาชิกกลุ่ม ทักษะระดับที่สองนี้เน้นที่การจัดการ ความพยายามของกลุ่มเพื่อทำงานให้สำเร็จและรักษาความสัมพันธ์ในการทำงานที่มีประสิทธิผล การทำให้ สมาชิกกลุ่มจดจ่ออยู่กับการทำงาน การหาวิธีดำเนินการที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และการสร้าง บรรยากาศการทำงานที่น่าพึงพอใจและเป็นมิตรนั้น ถือว่าเป็นการผสมผสานอันสำคัญที่จะนำไปสู่กลุ่มการ เรียนรู้แบบร่วมมือที่มีประสิทธิผล ตัวอย่างทักษะระดับสร้างบทบาท
แนะแนวทางการทำงานของกลุ่ม โดย (1) แจ้งและความมุ่งหมายของงานที่ได้รับมอบหมาย (2) เตือนให้ใช้เวลาตามที่กำหนดไว้ และ(3) เสนอขั้นตอนว่าจะทำงานอย่างไรให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิผล
ที่สุด
แสดงออกถึงการสนับสนุนและการยอมรับ ทั้งการใช้คำพูดและการแสดงท่าทาง โดยใช้การ มองสบตา แสดงความสนใจ ชมเชยแสวงหาความคิด และข้อสรุปของผู้อื่น
3. ระดับสร้างระบบ (formulating) เป็นทักษะที่จำเป็นต่อการสร้างความเข้าใจระดับลึกในเนื้อหาวิชาที่เรียน เพื่อส่งเสริมให้ใช้กลยุทธ์การใช้เหตุผลที่มีคุณภาพสูง และเพิ่มความเชี่ยวชาญและความ คงทนของความรู้ที่ได้จากงานที่ปฏิบัติ ทักษะระดับที่สามนี้ทำเกิดกระบวนการทางสมองที่จำเป็นในการ
สร้างความเข้าใจที่ถูกลงไปในเนื้อหาความรู้ที่เรียน กระตุ้นการใช้กลยุทธ์การให้เหตุผลที่มีคุณภาพ เพิ่มความเชี่ยวชาญและความคงทนของเนื้อหาความรู้ที่เรียน เนื่องจากความมุ่งหมายกลุ่มการเรียน ต้องการเพิ่มการเรียนรู้ของสมาชิก ทักษะเหล่านี้มุ่งเป้าหมายเฉพาะไปที่การให้รูปแบบวิธีการใน ระเบียบความรู้ที่เรียน
4. ระดับสร้างเสริม (fermenting) ทักษะที่จำเป็นต่อการส่งเสริมการรับรู้เหตุผลในสิ่งที่เรีย ความขัดแย้งด้านการรู้คิด(อภิปัญญา) การค้นหาความรู้เพิ่มเติม และการสื่อสารกันด้วยหลักเหตุผลเมื่อมีกร สรุปผล ทักษะแห่งความร่วมมือระดับที่สี่ ที่ทำให้นักเรียนสามารถเข้าร่วมในการโต้แย่งทางวิชาการ ประเด็นสำคัญที่สุดบางประการของการเรียนรู้เกิดขึ้นเมื่อ สมาชิกกลุ่มท้าทายการสรุปผล และการให้เหตุ ของกันและกันอย่างคล่องแคล่ว การโต้แยงทางวิชาการทำให้สมาชิกกลุ่มจาะอีกในเนื้อหาความรู้ที่เรีย ระดมหลักเหตุผลในข้อสรุป คิดแปลกแยกเกี่ยวกับปัญหา หาข้อสนเทศเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนจุดยืนของและอภิปรายโต้แย้งอย่างสร้างสรรค์เกี่ยวกับทางเลือกของการแก้ปัญหาและการตัดสินใจ ทักษะที่เกี่ยวข้องกับ การโต้แย้งทางวิชาการ ได้แก่
วิจารณ์ความคิด โดยไม่วิจารณ์คน
แบ่งแยกความแตกต่าง เมื่อมีความเห็นขัดแย้งขึ้นในกลุ่มการเรียนรู้
บูรณาการความคิดหลายความคิดให้เป็นจุดยืนเดียว
สรุป
ในการจัดการเรียนการสอนจะตัดสินใจว่าปัญหาในการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนนั้น เป็น ปัญหาที่สามารถแก้ไขด้วยการศึกษา การวางแผนจัดการเรียนการสอนจะต้องมีการวิเคราะห์เนื้อหาสาระ วิเคราะห์งานและภาระงาน การวิเคราะห์ภาระงานนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อสนองตอบความต้องการการเรียนรู้ กล่าวคือ การทบทวนระบบหรือกระบวนการเพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และผู้เรียนจะได้รับ ภาระงานสำหรับการเรียนการสอน ส่วนภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องก็ควรจะถูกตัดออกหรือใช้วิธีอื่นที่ไม่ใช่การ สอน ภาระงานที่เลือกมาต้องคำนึงถึงประสิทธิผลและประสิทธิภาพ ซึ่งการจัดการเรียนรู้ที่ดีต้องแสวงหา วิธีการที่ดีที่สุดภายใต้กรอบค่าใช้จ่ายที่ได้รับ(มีประสิทธิภาพ) และต้องสนองตอบจุดหมายของการเรียนรู้ (มี ประสิทธิผล)ไปพร้อมกัน




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น